ในบริบทของโลกยุคโลกาภิวัตน์และความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุน การปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในกระบวนการตกแต่งภายในโรงงานและโรงประกอบการ (fit-out) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรับประกันคุณภาพของโครงการและประสิทธิภาพในการดำเนินงานระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับโรงงานที่มีการส่งออกหรือมีนักลงทุน FDI การนำมาตรฐานสากลมาใช้เป็นข้อกำหนดที่จำเป็น เพื่อให้สามารถตอบสนองข้อกำหนดของตลาดต่างประเทศที่มีความเข้มงวด
1. มาตรฐาน ISO
ISO 9001:2015 – ระบบบริหารคุณภาพ
ISO 9001:2015 เป็นมาตรฐานสากลเกี่ยวกับระบบบริหารคุณภาพ ที่ช่วยให้องค์กรและธุรกิจสามารถบริหารจัดการกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการให้บริการ การนำ ISO 9001 มาใช้ช่วยให้ผู้รับเหมา fit-out สามารถควบคุมคุณภาพของงานก่อสร้างได้อย่างสม่ำเสมอ กระบวนการก่อสร้างเป็นไปอย่างมีระบบ และผลงานสุดท้ายเป็นไปตามมาตรฐานที่เจ้าของโครงการต้องการ
อุตสาหกรรมที่ต้องบังคับใช้: โรงงานผลิตวัสดุก่อสร้าง ปุ๋ย ต่อเรือ ซ่อมเรือ กาวไม้ ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง.
และแนะนำให้นำไปใช้สำหรับ: การผลิตยา อาหาร เครื่องสำอาง อุปกรณ์ทางการแพทย์ รถยนต์ อวกาศ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับประกันคุณภาพที่สม่ำเสมอ ตอบสนองลูกค้า ปฏิบัติตามข้อกำหนดสากล และยกระดับความน่าเชื่อถือ.
ข้อกำหนดของ ISO 9001:2015 ในการ fit-out โรงงาน ได้แก่:
- กระบวนการทำงานที่ชัดเจนตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้าง.
- ควบคุมคุณภาพในแต่ละขั้นตอนการก่อสร้าง โดยเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพและเหมาะสม.
- บริหารความเสี่ยงตลอดกระบวนการก่อสร้าง ตั้งแต่การเลือกผู้จัดจำหน่ายไปจนถึงการควบคุมงานก่อสร้าง.
ISO ด้านการจัดการคุณภาพเป็นข้อบังคับสำหรับโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ISO 14001:2015 – ระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม
ISO 14001 เป็นมาตรฐานสากลที่ให้กรอบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ช่วยให้องค์กรควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการของตนเอง ด้วยเหตุนี้ โรงงานจึงสามารถนำเทคโนโลยีสีเขียวและกระบวนการที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์และประสิทธิภาพการผลิต
มาตรฐาน ISO 14001 เป็นมาตรฐานสากลที่ให้กรอบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ช่วยให้โรงงานสามารถควบคุมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมการผลิต ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และปรับปรุงสมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการประหยัดทรัพยากรและการใช้เทคโนโลยียั่งยืน
อุตสาหกรรมที่บังคับใช้: โรงงานผลิตกระดาษ การทำเหมืองแร่ โรงกลั่นและปิโตรเคมี แปรรูปอาหาร.
และแนะนำให้นำไปใช้สำหรับ: การก่อสร้าง ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และโลจิสติกส์ เพื่อช่วยลดมลพิษ ประหยัดทรัพยากร ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม และยกระดับภาพลักษณ์ในระดับสากล
ข้อกำหนดของ ISO 14001 ในการ fit-out โรงงาน ได้แก่
- ลดของเสียและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้มาตรการลดมลพิษและปรับปรุงคุณภาพของอากาศและน้ำตลอดกระบวนการก่อสร้าง.
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงการดำเนินงานของโรงงาน.
โรงงานที่บูรณาการโซลูชัน smart factory เข้ากับระบบเครื่องกลไฟฟ้า (MEP) สามารถช่วยประหยัดทรัพยากรเชื้อเพลิงในกระบวนการเดินเครื่อง และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม.
ISO 45001:2018 – ระบบบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ISO 45001 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับระบบบริหารจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OH&S) มาตรฐานนี้ช่วยลดอุบัติเหตุจากการทำงาน โรคจากการทำงาน และยกระดับคุณภาพของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในกระบวนการ fit-out ผู้รับเหมาจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในการทำงาน ตั้งแต่การจัดหาชุดป้องกันส่วนบุคคล ไปจนถึงการจัดทำกระบวนการความปลอดภัยตลอดช่วงเวลาการก่อสร้าง
อุตสาหกรรมที่ใช้: ไม่ได้บังคับใช้กับอุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม มาตรฐานนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งและมักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงด้านความปลอดภัยและสุขภาพ เช่น การก่อสร้าง การผลิต น้ำมันและก๊าซ เหมืองแร่ และเกษตรกรรม.
ข้อกำหนดของ ISO 45001 ในการ fit-out โรงงาน ได้แก่:
- สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย พร้อมมาตรการดูแลสุขภาพของคนงานและพนักงาน.
- จัดทำกระบวนการความปลอดภัยในงานก่อสร้าง รวมถึงมาตรการป้องกันในระหว่างการใช้งานเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ.
- จัดอบรมด้านความปลอดภัยในการทำงานให้กับคนงานและพนักงานในไซต์ก่อสร้าง.
โรงงาน Haem Vina ที่ DELCO เป็นผู้รับเหมาหลักในการออกแบบและก่อสร้าง fit-out ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 45001
2. มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices) – แนวทางการผลิตที่ดี
มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดการออกแบบ การก่อสร้าง และการดำเนินงานของโรงงาน เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมการผลิตสะอาด ควบคุมกระบวนการอย่างเข้มงวด ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อน และรับประกันว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและมีคุณภาพสูง
อุตสาหกรรมที่บังคับใช้: อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ยา เครื่องสำอาง และอุปกรณ์ทางการแพทย์. และแนะนำให้นำไปใช้สำหรับ: การผลิตสารเคมี บรรจุภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัย มีคุณภาพสูง ลดการปนเปื้อน และตอบสนองต่อมาตรฐานของตลาดโลก
ในกระบวนการ fit-out โรงงานที่ใช้มาตรฐาน GMP ปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่:
- การออกแบบเส้นทางการผลิตแบบทางเดียว เพื่อลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนระหว่างกระบวนการ
- วัสดุก่อสร้างและงานตกแต่ง เช่น พื้น ผนัง เพดาน ต้องทำความสะอาดง่าย ไม่เก็บฝุ่น และไม่ก่อให้เกิดอนุภาค
- ระบบ HVAC ต้องควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการไหลเวียนของอากาศอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาด
- พื้นที่ทำงานต้องไม่มีมุมอับ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค
3. มาตรฐานห้องสะอาด (ISO 14644-1 และ Federal Standard 209)
ห้องสะอาดคือสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดในด้านความสะอาด ความชื้น อุณหภูมิ และความดัน เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมที่ต้องการควบคุมสิ่งแวดล้อมในระดับสูง เช่น ยา อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และไมโครชิป
อุตสาหกรรมที่บังคับใช้: การผลิตยา อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมที่ต้องการสภาพแวดล้อมการผลิตที่สะอาด (เช่น การผลิตไมโครชิป เทคโนโลยีชีวภาพ…)
และแนะนำให้นำไปใช้สำหรับ: การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์แสงและเลนส์ ห้องทดลองวิจัย เพื่อควบคุมฝุ่น เชื้อโรค รับประกันคุณภาพ และรองรับข้อกำหนดทางเทคนิคที่เข้มงวด
ISO 14644-1 ปัจจุบันเป็นมาตรฐานห้องสะอาดที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในระดับโลก แทนที่มาตรฐาน Federal Standard 209 (ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานห้องสะอาดชุดแรกที่พัฒนาในสหรัฐฯ) โดยมาตรฐานนี้กำหนดระดับของห้องสะอาด (Class 1, Class 10, Class 100, Class 1,000, Class 10,000, Class 100,000) โดยพิจารณาจากปริมาณฝุ่นในอากาศ ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตในสภาพแวดล้อมเฉพาะมีคุณภาพตามเกณฑ์
- Class 1: ระดับความสะอาดสูงสุด มีปริมาณฝุ่นต่ำมาก
- Class 10, 100, 1000: ระดับความสะอาดลดหลั่นกันลง ปริมาณฝุ่นที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้น
- Class 100.000: ระดับความสะอาดขั้นพื้นฐาน ใช้สำหรับสภาพแวดล้อมที่ต้องควบคุมฝุ่นในระดับเบื้องต้น
หมายเลขระดับ (N) | ค่าความเข้มข้นสูงสุด (หน่วย: อนุภาค/ลบ.ม. อากาศ) สำหรับอนุภาคที่มีขนาดเท่ากับหรือมากกว่าค่าที่ระบุไว้ด้านล่าง | |||||
0,1 μm | 0,2 μm | 0,3 μm | 0,5 μm | 1 μm | 5 μm | |
ระดับ 1 | 10 | 2 | ||||
ระดับ 2 | 100 | 24 | 10 | 4 | ||
ระดับ 3 | 1 000 | 237 | 102 | 35 | 8 | |
ระดับ 4 | 10 000 | 2 370 | 1 020 | 352 | 83 | |
ระดับ 5 | 100 000 | 23 700 | 10 200 | 3 520 | 832 | 29 |
ระดับ 6 | 1 000 000 | 237 000 | 102 000 | 35 200 | 8 320 | 293 |
ระดับ 7 | 352 000 | 83 200 | 2 930 | |||
ระดับ 8 | 3 520 000 | 832 000 | 29 300 | |||
ระดับ 9 | 35 200 000 | 8 320 000 | 293 000 |
ตาราง: ขีดจำกัดปริมาณฝุ่นตามมาตรฐาน ISO 14644-1
ห้องสะอาดต้องการระบบกรองอากาศ พื้น ผนัง และฝ้าเพดานที่มีความเข้มงวดสูงมาก
4.มาตรฐาน HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points) – การวิเคราะห์อันตรายและจุดควบคุมวิกฤต
HACCP ไม่ใช่มาตรฐานที่ใช้เฉพาะในขั้นตอนการก่อสร้างเท่านั้น แต่มีผลอย่างมากในขั้นตอน fit-out โรงงาน มาตรฐานนี้มีผลโดยตรงต่อขั้นตอน fit-out โรงงาน ซึ่งเป็นช่วงที่การออกแบบ ระบบ และวัสดุถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหาร ผู้รับเหมา fit-out จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การออกแบบเส้นทางการผลิต การเลือกวัสดุก่อสร้างที่ทำความสะอาดง่าย และการติดตั้งระบบ HVAC ที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้โรงงานสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของ HACCP ได้อย่างครบถ้วน
อุตสาหกรรมที่ใช้: HACCP ไม่ได้เป็นมาตรฐานบังคับสำหรับทุกอุตสาหกรรม แต่ได้รับการแนะนำให้ใช้ และมักถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริษัทที่ส่งออกอาหารไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น
ข้อกำหนดของ HACCP ในการ fit-out โรงงานอาหาร ได้แก่:
- การระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอาหาร (เช่น อันตรายทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ)
- ควบคุมจุดสำคัญในกระบวนการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมปลอดภัยและสะอาด
- การออกแบบพื้นที่แปรรูปอาหารต้องมีการแยกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน พร้อมทั้งระบบระบายอากาศและระบบน้ำที่มีประสิทธิภาพ
บริษัท Vinamilk ของเวียดนามได้รับการรับรองมาตรฐาน HACCP
5. มาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) – อาคารเขียว
LEED เป็นหนึ่งในระบบการรับรองอาคารเขียวในระดับสากล ที่มุ่งเน้นการก่อสร้างอาคารที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคาร LEED ไม่ได้ใช้แค่ในช่วงก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในช่วง fit-out โดยเฉพาะเมื่อโรงงานสร้างเสร็จและอยู่ในขั้นตอนให้เช่า ช่วงนี้ นักลงทุนจะดำเนินการตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เช่า และทำให้โครงการสามารถผ่านเกณฑ์อาคารเขียว เช่น การติดตั้งระบบไฟ LED ปรับปรุงระบบระบายอากาศ และเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยให้พื้นที่ใช้งานได้มาตรฐานอาคารเขียว
อุตสาหกรรมที่ใช้: LEED ไม่ได้เป็นมาตรฐานบังคับสำหรับอุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะ แต่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการส่งเสริมโดยเฉพาะในภาคการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และอาคารที่พักอาศัย
ข้อกำหนดของ LEED ในการ fit-out โรงงาน ได้แก่:
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและทรัพยากรในช่วงก่อสร้างและใช้งาน
- ปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารพิษ
- ลดการใช้น้ำ โดยใช้ระบบรีไซเคิลน้ำฝนหรือระบบประหยัดน้ำ
โรงงาน Milwaukee ของกลุ่มบริษัท TTI ได้รับการรับรอง LEED ระดับ Gold ที่กรุงโฮจิมินห์ซิตี้
การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น GMP, ISO, ห้องสะอาด, HACCP และ LEED ไม่เพียงช่วยให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของโรงงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนในระยะยาว โดยเฉพาะกับนักลงทุน FDI และผู้ที่มีเป้าหมายส่งออก การนำมาตรฐานเหล่านี้มาใช้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของโรงงาน การเลือกผู้รับเหมาที่มีความสามารถในการนำมาตรฐานสากลเหล่านี้ไปใช้ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จและการเติบโตของโครงการในระยะยาว
ดูเพิ่มเติม: การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับการตกแต่งโรงงานในปี 2025
ดูเพิ่มเติม: กระบวนการ Fit-out โรงงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบถึงการก่อสร้างในประเทศเวียดนาม